พระสุตตันตปิฎก
เล่ม ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
ขอน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มูลปริยายวรรค
๑. มูลปริยายสูตร
ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โคนไม้พญารัง ในสุภควัน เขตเมืองอุกกัฏฐา ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปริยายอันเป็นมูลของธรรมทั้งปวงแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
กําหนดภูมินัยที่ ๑ ด้วยสามารถปุถุชน
[๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกนี้ ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนําในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนําในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมสําคัญธาตุดิน ย่อมสําคัญในธาตุดิน ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมสําคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้. ย่อมรู้ธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำ ครั้นรู้ธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำแล้ว ย่อมสําคัญธาตุน้ำ ย่อมสําคัญในธาตุน้ำ ย่อมสําคัญโดยความเป็นธาตุน้ำ ย่อมสําคัญธาตุน้ำว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุน้ำ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟ ครั้นรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟแล้ว ย่อมสําคัญธาตุไฟ ย่อมสําคัญในธาตุไฟ ย่อมสําคัญโดยความเป็นธาตุไฟ ย่อมสําคัญธาตุไฟว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุไฟ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม ครั้นรู้ธาตุลมโดยความเป้นธาตุลมแล้ว ย่อมสําคัญธาตุลม ย่อมสําคัญในธาตุลม ย่อมสําคัญโดยความเป็นธาตุลม ย่อมสําคัญธาตุลมว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุลม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้สัตว์โดยความเป็นสัตว์ ครั้นรู้สัตว์โดยความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมสําคัญสัตว์ ย่อมสําคัญในสัตว์ย่อมสําคัญโดยความเป็นสัตว์ ย่อมสําคัญสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เทวดาโดยความเป็นเทวดา ครั้นรู้เทวดาโดยความเป็นเทวดาแล้ว ย่อมสําคัญเทวดา ย่อมสําคัญในเทวดา ย่อมสําคัญโดยความเป็นเทวดา ย่อมสําคัญเทวดาว่าของเรา ย่อมยินดีเทวดา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้มารโดยความเป็นมาร ครั้นรู้มารโดยความเป็นมารแล้ว ย่อมสําคัญมาร ย่อมสําคัญในมาร ย่อมสำคัญโดยความเป็นมาร ย่อมสําคัญมารว่า ของเรา ย่อมยินดีมาร ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้พรหมโดยความเป็นพรหม ครั้นรู้พรหมโดยความเป็นพรหมแล้ว ย่อมสําคัญพรหม ย่อมสําคัญในพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นพรหม ย่อมสําคัญพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อาภัสสรพรหมโดยความเป็นอาภัสสรพรหม ครั้นรู้อาภัสสรพรหมโดยความเป็นอาภัสสรพรหมแล้ว ย่อมสําคัญอาภัสสรพรหม ย่อมสําคัญในอาภัสสรพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นอาภัสสรพรหม ย่อมสําคัญอาภัสสรพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอาภัสสรพรหม ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้สุภกิณหพรหมโดยความเป็นสุภกิณหพรหม ครั้นรู้สุภกิณหพรหมโดยความเป็นสุภกิณหพรหมแล้ว ย่อมสําคัญสุภกิณหพรหม ย่อมสําคัญในสุภกิณหพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นสุภกิณหพรหม ย่อมสําคัญสุภกิณหพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีสุภกิณหพรหม ข้อนั้นเพราะ
เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เวหัปผลพรหมโดยความเป็นเวหัปผลพรหม ครั้นรู้เวหัปผลพรหมโดยความเป็นเวหัปผลพรหมแล้ว ย่อมสําคัญเวหัปผลพรหม ย่อมสําคัญในเวหัปผลพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นเวหัปผลพรหม ย่อมสําคัญเวหัปผลพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีเวหัปผลพรหม ข้อนั้นเพราะ
เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ครั้นรู้อสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์แล้ว ย่อมสําคัญอสัญญีสัตว์ ย่อมสําคัญในอสัญญีสัตว์ ย่อมสําคัญโดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ย่อมสําคัญอสัญญีสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีอสัญญีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า
เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อากาสานัญจายตนพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหม ครั้นรู้อากาสานัญจายตนพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญในอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญอากาสานัญจายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากาสานัญจายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้วิญญาณัญจายตนพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหม ครั้นรู้วิญญาณัญจายตนพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญในวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญวิญญาณัญจายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีวิญญาณัญจายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อากิญจัญญายตนพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหม ครั้นรู้อากิญจัญญายตนพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญในอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญ
อากิญจัญญายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากิญจัญญายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ครั้นรู้เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้รูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่เห็น ครั้นรู้รูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่ตนเห็นแล้ว ย่อมสําคัญรูปที่ตนเห็น ย่อมสําคัญในรูปที่ตนเห็น ย่อมสําคัญโดยความเป็นรูปที่ตนเห็น ย่อมสําคัญรูปที่ตนเห็นว่า ของเรา ย่อมยินดีรูปที่ตนเห็น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียงที่ตนฟัง ครั้นรู้เสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียงที่ตนฟังแล้ว ย่อมสําคัญเสียงที่ตนฟัง ย่อมสําคัญในเสียงที่ตนฟัง ย่อมสําคัญโดยความเป็นเสียงที่ตนฟัง ย่อมสําคัญเสียงที่ตนฟังว่า ของเรา ย่อมยินดีเสียงที่ตนฟัง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อารมณ์ที่ตนทราบโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ครั้นรู้อารมณ์ที่ตนทราบโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว ย่อมสําคัญอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสําคัญในอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสําคัญโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสําคัญอารมณ์ที่ตนทราบว่า ของเรา ย่อมยินดีอารมณ์ที่ตนทราบ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ครั้นรู้ธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งแล้ว ย่อมสําคัญธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสําคัญในธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสําคัญโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสําคัญธรรมารมณ์ที่ตน
รู้แจ้งว่า ของเรา ย่อมยินดีธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกัน ครั้นรู้สักกายะเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกันแล้ว ย่อมสําคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสําคัญในความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสําคัญโดยความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสําคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันว่า ของเรา ย่อมยินดีความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ความที่สักกายะต่างกันโดยความเป็นของต่างกัน ครั้นรู้ความที่สักกายะต่างกันโดยความเป็นของต่างกันแล้ว ย่อมสําคัญความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสําคัญในความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสําคัญโดยความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสําคัญความที่สักกายะต่างกันว่า ของเรา ย่อมยินดี
ความที่สักกายะต่างกัน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้สักกายะทั้งปวงโดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ครั้นรู้สักกายะทั้งปวง โดยความเป็นสักกายะทั้งปวงแล้ว ย่อมสําคัญสักกายะทั้งปวง ย่อมสําคัญในสักกายะทั้งปวง ย่อมสําคัญโดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ย่อมสําคัญสักกายะทั้งปวงว่าของเรา ย่อมยินดีสักกายะทั้งปวง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมสําคัญพระนิพพาน ย่อมสําคัญในพระนิพพาน ย่อมสําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า
เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
กําหนดภูมินัยที่ ๑ ด้วยสามารถปุถุชน.
กําหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล
[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใดเป็นเสขบุคคล ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล เมื่อปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าอยู่ แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว อย่าสําคัญธาตุดิน อย่าสําคัญในธาตุดิน อย่าสําคัญโดยความเป็นธาตุดิน อย่าสําคัญธาตุดินว่า ของเรา อย่ายินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกําหนดรู้.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ
... วิญญาณ ที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว อย่าสําคัญพระนิพพาน อย่าสําคัญในพระนิพพาน อย่าสําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน อย่าสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา อย่ายินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกําหนดรู้.
กําหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล.
กําหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลส เครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ไม่สําคัญในธาตุดิน ไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ไม่สําคัญธาตุดินว่าของเรา ไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกําหนดรู้แล้ว.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกําหนดรู้แล้ว.
กําหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
กําหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญธาตุดินว่าของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่
ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.
กําหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
กําหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.
กําหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
กําหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.
กําหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
กําหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา
[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญธาตุดินว่าของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะธาตุดินนั้นพระตถาคต กําหนดรู้แล้ว.
ย่อมทรงรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญาตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ... ทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะพระนิพพานนั้นพระตถาคตทรงกําหนดรู้แล้ว.
กําหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา.
กําหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา
[๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดินว่า ของเรา
ย่อมไม่ทรงยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะภพจงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้ว ต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สํารอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง
ย่อมทรงรู้ยิ่งธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตน
เห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ... ทรงรู้ยิ่งพระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะภพจึงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้วต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สํารอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง.
ย่อมรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟ ครั้นรู้ธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟแล้ว ย่อมสําคัญธาตุไฟ ย่อมสําคัญในธาตุไฟ ย่อมสําคัญโดยความเป็นธาตุไฟ ย่อมสําคัญธาตุไฟว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุไฟ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม ครั้นรู้ธาตุลมโดยความเป้นธาตุลมแล้ว ย่อมสําคัญธาตุลม ย่อมสําคัญในธาตุลม ย่อมสําคัญโดยความเป็นธาตุลม ย่อมสําคัญธาตุลมว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุลม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้สัตว์โดยความเป็นสัตว์ ครั้นรู้สัตว์โดยความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมสําคัญสัตว์ ย่อมสําคัญในสัตว์ย่อมสําคัญโดยความเป็นสัตว์ ย่อมสําคัญสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เทวดาโดยความเป็นเทวดา ครั้นรู้เทวดาโดยความเป็นเทวดาแล้ว ย่อมสําคัญเทวดา ย่อมสําคัญในเทวดา ย่อมสําคัญโดยความเป็นเทวดา ย่อมสําคัญเทวดาว่าของเรา ย่อมยินดีเทวดา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้มารโดยความเป็นมาร ครั้นรู้มารโดยความเป็นมารแล้ว ย่อมสําคัญมาร ย่อมสําคัญในมาร ย่อมสำคัญโดยความเป็นมาร ย่อมสําคัญมารว่า ของเรา ย่อมยินดีมาร ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้พรหมโดยความเป็นพรหม ครั้นรู้พรหมโดยความเป็นพรหมแล้ว ย่อมสําคัญพรหม ย่อมสําคัญในพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นพรหม ย่อมสําคัญพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อาภัสสรพรหมโดยความเป็นอาภัสสรพรหม ครั้นรู้อาภัสสรพรหมโดยความเป็นอาภัสสรพรหมแล้ว ย่อมสําคัญอาภัสสรพรหม ย่อมสําคัญในอาภัสสรพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นอาภัสสรพรหม ย่อมสําคัญอาภัสสรพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอาภัสสรพรหม ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้สุภกิณหพรหมโดยความเป็นสุภกิณหพรหม ครั้นรู้สุภกิณหพรหมโดยความเป็นสุภกิณหพรหมแล้ว ย่อมสําคัญสุภกิณหพรหม ย่อมสําคัญในสุภกิณหพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นสุภกิณหพรหม ย่อมสําคัญสุภกิณหพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีสุภกิณหพรหม ข้อนั้นเพราะ
เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เวหัปผลพรหมโดยความเป็นเวหัปผลพรหม ครั้นรู้เวหัปผลพรหมโดยความเป็นเวหัปผลพรหมแล้ว ย่อมสําคัญเวหัปผลพรหม ย่อมสําคัญในเวหัปผลพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นเวหัปผลพรหม ย่อมสําคัญเวหัปผลพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีเวหัปผลพรหม ข้อนั้นเพราะ
เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ครั้นรู้อสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์แล้ว ย่อมสําคัญอสัญญีสัตว์ ย่อมสําคัญในอสัญญีสัตว์ ย่อมสําคัญโดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ย่อมสําคัญอสัญญีสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีอสัญญีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า
เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อากาสานัญจายตนพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหม ครั้นรู้อากาสานัญจายตนพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญในอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นอากาสานัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญอากาสานัญจายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากาสานัญจายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้วิญญาณัญจายตนพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหม ครั้นรู้วิญญาณัญจายตนพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญในวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นวิญญาณัญจายตนพรหม ย่อมสําคัญวิญญาณัญจายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีวิญญาณัญจายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อากิญจัญญายตนพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหม ครั้นรู้อากิญจัญญายตนพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญในอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นอากิญจัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญ
อากิญจัญญายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากิญจัญญายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ครั้นรู้เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมแล้ว ย่อมสําคัญเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญโดยความเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ย่อมสําคัญเนวสัญญานาสัญญายตนพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้รูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่เห็น ครั้นรู้รูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่ตนเห็นแล้ว ย่อมสําคัญรูปที่ตนเห็น ย่อมสําคัญในรูปที่ตนเห็น ย่อมสําคัญโดยความเป็นรูปที่ตนเห็น ย่อมสําคัญรูปที่ตนเห็นว่า ของเรา ย่อมยินดีรูปที่ตนเห็น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้เสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียงที่ตนฟัง ครั้นรู้เสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียงที่ตนฟังแล้ว ย่อมสําคัญเสียงที่ตนฟัง ย่อมสําคัญในเสียงที่ตนฟัง ย่อมสําคัญโดยความเป็นเสียงที่ตนฟัง ย่อมสําคัญเสียงที่ตนฟังว่า ของเรา ย่อมยินดีเสียงที่ตนฟัง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้อารมณ์ที่ตนทราบโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ครั้นรู้อารมณ์ที่ตนทราบโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว ย่อมสําคัญอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสําคัญในอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสําคัญโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสําคัญอารมณ์ที่ตนทราบว่า ของเรา ย่อมยินดีอารมณ์ที่ตนทราบ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ครั้นรู้ธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งแล้ว ย่อมสําคัญธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสําคัญในธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสําคัญโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสําคัญธรรมารมณ์ที่ตน
รู้แจ้งว่า ของเรา ย่อมยินดีธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกัน ครั้นรู้สักกายะเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกันแล้ว ย่อมสําคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสําคัญในความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสําคัญโดยความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสําคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันว่า ของเรา ย่อมยินดีความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้ความที่สักกายะต่างกันโดยความเป็นของต่างกัน ครั้นรู้ความที่สักกายะต่างกันโดยความเป็นของต่างกันแล้ว ย่อมสําคัญความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสําคัญในความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสําคัญโดยความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสําคัญความที่สักกายะต่างกันว่า ของเรา ย่อมยินดี
ความที่สักกายะต่างกัน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้สักกายะทั้งปวงโดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ครั้นรู้สักกายะทั้งปวง โดยความเป็นสักกายะทั้งปวงแล้ว ย่อมสําคัญสักกายะทั้งปวง ย่อมสําคัญในสักกายะทั้งปวง ย่อมสําคัญโดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ย่อมสําคัญสักกายะทั้งปวงว่าของเรา ย่อมยินดีสักกายะทั้งปวง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมสําคัญพระนิพพาน ย่อมสําคัญในพระนิพพาน ย่อมสําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า
เพราะเขาไม่ได้กําหนดรู้.
กําหนดภูมินัยที่ ๑ ด้วยสามารถปุถุชน.
กําหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล
[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใดเป็นเสขบุคคล ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล เมื่อปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าอยู่ แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว อย่าสําคัญธาตุดิน อย่าสําคัญในธาตุดิน อย่าสําคัญโดยความเป็นธาตุดิน อย่าสําคัญธาตุดินว่า ของเรา อย่ายินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกําหนดรู้.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ
... วิญญาณ ที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว อย่าสําคัญพระนิพพาน อย่าสําคัญในพระนิพพาน อย่าสําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน อย่าสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา อย่ายินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกําหนดรู้.
กําหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล.
กําหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลส เครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ไม่สําคัญในธาตุดิน ไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ไม่สําคัญธาตุดินว่าของเรา ไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกําหนดรู้แล้ว.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกําหนดรู้แล้ว.
กําหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
กําหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญธาตุดินว่าของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่
ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.
กําหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
กําหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.
กําหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
กําหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
[๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สําคัญธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สําคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.
ย่อมรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ...
ย่อมรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่สําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่สําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.
กําหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
กําหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา
[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญธาตุดินว่าของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะธาตุดินนั้นพระตถาคต กําหนดรู้แล้ว.
ย่อมทรงรู้ธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญาตนพรหม ... รูปที่ตนเห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ... ทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะพระนิพพานนั้นพระตถาคตทรงกําหนดรู้แล้ว.
กําหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา.
กําหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา
[๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญในธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสําคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่ทรงสำคัญธาตุดินว่า ของเรา
ย่อมไม่ทรงยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะภพจงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้ว ต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สํารอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง
ย่อมทรงรู้ยิ่งธาตุน้ำ ... ธาตุไฟ ... ธาตุลม ... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหม ... อาภัสสรพรหม ... สุภกิณหพรหม ... เวหัปผลพรหม ... อสัญญีสัตว์ ... อากาสานัญจายตนพรหม ... วิญญาณัญจายตนพรหม ... อากิญจัญญายตนพรหม ... เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ... รูปที่ตน
เห็น ... เสียงที่ตนฟัง ... อารมณ์ที่ตนทราบ ... วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง ... ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ... ความที่สักกายะต่างกัน ... สักกายะทั้งปวง ... ทรงรู้ยิ่งพระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพาน ครั้นทรงรู้พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญในพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสำคัญโดยความเป็นพระนิพพาน ย่อมไม่ทรงสําคัญพระนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ทรงยินดีพระนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะภพจึงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้วต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สํารอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง.
กําหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสมูลปริยายนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมิได้ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.
จบ มูลปริยายสูตร ที่ ๑
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสมูลปริยายนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมิได้ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.
จบ มูลปริยายสูตร ที่ ๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น